Shika Snow Mountain เป็นจุดหมายปลายทางที่เราจะไปกันในวันนี้ ซึ่งตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายของมหากาพย์ “เรื่องเล่าจากเมืองเก่า คุนหมิง-ลี่เจียง-แชงกรีล่า” กันแล้ว เรื่องเล่าต่างๆที่เกิดขึ้นตั้งแต่ EP1 – EP4 ที่ผ่านมา มีเรื่องราวและภาพความประทับใจเกิดขึ้นมากมายนับไม่ถ้วน สามารถแวะเวียนไปอ่านกันได้ แล้วอย่าลืมกลับมาอ่านตอนสุดท้ายตอนนี้กันด้วยนะ
เรื่องเล่าจากเมืองเก่า คุนหมิง-ลี่เจียง-แชงกรีล่า EP1 : ซากุระบานที่คุนหมิง
เรื่องเล่าจากเมืองเก่า คุนหมิง-ลี่เจียง-แชงกรีล่า EP2 : หลงเสน่ห์ 3 เมืองเก่าลี่เจียง
เรื่องเล่าจากเมืองเก่า คุนหมิง-ลี่เจียง-แชงกรีล่า EP3 : Impression Lijiang
เรื่องเล่าจากเมืองเก่า คุนหมิง-ลี่เจียง-แชงกรีล่า EP4 : แชงกรีล่า
–DAY 5 —
Shika Snow Mountain
(Blue Moon Valley / หุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงิน)
วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายแล้ว ที่เราจะได้สัมผัสดินแดนต่างวัฒนธรรมแบบนี้ มาถึงแชงกรีล่าทั้งที อยู่ระดับความสูงในเมืองแบบนี้คงไม่พอ ต้องเพิ่มความลำบากให้ตัวเองสักหน่อย โดยการไต่ระดับความสูงไปสัมผัสความหนาวเหน็บบนยอดเขา Shika Snow Mountain (หรือเรียกว่า Blue Moon Valley แต่คนไทยมักจะเรียกว่า หุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงิน) ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 4,500 เมตร
แต่ก่อนจะไปกันกองทัพต้องเดินด้วยท้อง เราต้องกินให้อิ่มกันก่อนออกเดินทาง กับอาหารเช้าแบบพื้นเมือง (รึป่าวไม่รู้)
ข้าวต้ม ไข่ต้ม หมั่นโถ พร้อมกับเครื่องเคียง และชาดอกไม้ แค่นี้ก็ทำให้เราอิ่มท้องได้ พร้อมที่จะไปสัมผัสความหนาวเหน็บกับอุณหภูมิบนยอดเขาที่คาดว่าน่าจะถึงขั้นติดลบแน่ๆ
การขึ้นไปบนยอดเขาที่มีระดับความสูงมากๆ แบบวันนี้ที่เราจะไปกัน มีหลายคนบอกว่ามีโอกาสที่จะเกิดอาการ Altitude Sickness หรือเรียกว่า อาการแพ้ความสูง ได้ จากที่หาข้อมูลมา เค้าบอกให้กินยา Diamox กันไว้ก็พอช่วยได้ (สามารถหาซื้อได้ที่ไทย) หรือไม่ก็สมุนไพรจีนที่เรียกว่า หงจิ่นเทียน (อันนี้ต้องซื้อที่จีนเท่านั้น)
เราเดินหาซื้อ หงจิ่นเทียน ตั้งแต่ตอนอยู่ที่ลี่เจียงแล้ว ตั้งใจเอาไว้กิน ตอนขึ้นภูเขาหิมะมังกรหยก แล้วก็มากินที่แชงกรีล่าด้วย ตามหาซื้ออยู่นานกว่าจะหาได้ หาซื้อได้ตามร้านขายยา แล้วก็ซื้อออกซิเจนกระป๋องมาด้วยเลย จะช่วยทำให้เราหายใจสะดวกมากขึ้น ในยามที่อากาศเบาบาง (หงจิ่นเทียน 1 กล่องมี 7 ขวด แล้วก็ออกซิเจน 2 กระป๋องราคา 234.60 หยวน)
เตรียมพร้อมก่อนขึ้นเขาโดยการกิน หงจิ่นเทียน คนละขวด แล้วก็ใช้บริการรถของที่พักเหมือนเดิม ไปกลับ 30 หยวน แวะซื้อบัตรค่าเข้า Shika Snow Mountain คนละ 220 หยวน ระหว่างทางเราได้เห็นวิวสองข้างทางที่สวยแปลกตามาก และคำเตือนจากคนขับคือ ข้างบนยอดเขาหนาวมากนะ ต้องมีเสื้อคลุมกับออกซิเจนให้พร้อม
นั่งชมวิวสวยๆสองข้างทางไม่นาน เราก็มาถึง Shika Snow Mountain กันแล้ว คนขับพาเดินเข้าไปด้านใน จะมีจุดให้เช่าเสื้อกันหนาว กับขายออกซิเจนด้วย แต่เราเตรียมตัวมาพร้อมมาก มีครบทุกอย่างละ เข้าไปด้านในกันได้เลย
ขึ้นกระเช้าไต่ระดับความสูง สัมผัสความหนาวเหน็บกันไปเรื่อยๆ กระเช้าค่อยๆ สูงขึ้น สูงขึ้น แล้วก็สูงขึ้น อย่างช้าๆ ปะทะกับลมแรงๆ จนรู้สึกได้ถึงการส่ายไปมาของกระเช้า ต้องบอกตามตรงว่ามีหวิวๆ บ้างเล็กน้อย แต่บรรยากาศที่เห็นรอบข้างอยู่ตอนนี้ทำให้ความกลัวของเราหายไปทันที บรรยากาศแห้งๆ ของฤดูหนาว ต้นไม้สีเขียวกลายเป็นสีทองเต็มพื้นที่ แซมด้วยหิมะสีขาว บอกได้คำเดียวว่า ฟิน!!! มาก
นั่งไปได้สักพักจะถึงจุดที่ต้องลงเพื่อเปลี่ยนกระเช้าก่อนที่จะขึ้นไปบนยอดเขา ธงมนตรามีให้เห็นตลอดที่เรามาสัมผัสดินแดนแห่งนี้ อากาศเย็นกับบรรยากาศที่สงบเงียบแบบนี้ เดินเล่นถ่ายรูปเพลินมาก
ขึ้นกระเช้ากันต่อ ความสูงที่เพิ่มขึ้น ยิ่งทำให้เห็นหิมะปกคลุมมากขึ้นเรื่อยๆ โชคดีที่เราไม่มีอาการ Altitude Sickness (อาการแพ้ความสูง) ไม่รู้เป็นเพราะกิน หงจิ่นเทียน มาก่อนหน้านี้รึเปล่า ไม่รู้สึกปวดหัว หายใจก็ปกติไม่ได้ลำบากมาก มีแค่เลือดกำเดาไหลนิดหน่อย (ห๊า!! ไอบ้า เลือดกำเดาไหลเนี่ยนะ นิดหน่อย) นิดหน่อยจริงๆ เอาทิชชู่ซับไปตลอดทาง เดี๋ยวก็หาย 5555 แต่คิดว่าออกซิเจนก็ช่วยได้เยอะนะ เวลาสูดออกซิเจนทีก็รู้สึกโล่งๆ สดชื่น… ป่ะ ไปดูวิวกันต่อดีกว่า
ในที่สุดก็มาถึงบนยอดเขา ลมแรงมาก หนาวมาก สวยมาก ฟินมาก ชอบมาก ปลื้มมาก ทุกอย่างมากหมดจริงๆ ด้านบนจะมีสะพานไม้เป็นทางไว้ให้เดิน แต่บางช่วงหิมะก็ปกคลุมจนมิด ก็ต้องเดินลุยหิมะกันไป ขึ้นมาบนนี้ต้องเตรียมตัวให้พร้อม อุณหภูมิคาดว่าช่วงที่ไปต้องมีติดลบแน่ๆ เสื้อผ้า อุปกรณ์กันหนาว ยา ออกซิเจน และอย่ามองข้ามเรื่องรองเท้าเด็ดขาด ไม่งั้นมีลื่นล้มกันได้ง่ายๆ แล้วถ้าล้มมันอาจจะไม่ได้ล้มแค่ตรงนั้น เกิดกลิ้งขึ้นมา หูย!! ไม่อยากจะคิด
ต้องบอกความจริง ณ วันที่ไปยืนตรงจุดนั้นก่อนว่า ในความสวยมันก็แฝงไปด้วยความน่ากลัว วันที่ไปลมแรงมาก เดินลำบากมาก แรงขนาดที่ว่าเวลาเดินต้องเกาะราวสะพาน เพราะถ้าไม่เกาะ ลมพัดแรงๆ มาทีมีปลิวได้เลย
เราเดินไปถึงที่ความสูง 4,500 เมตร เดินได้แค่ตรงนี้ ไปต่อไม่ได้แล้ว เค้าปิดทางไว้เพราะลมแรงมาก ทัศนวิสัยก็ไม่ดี (ถ้าวันที่อากาศดีๆยังสามารถเดินต่อไปได้อีก) ถ้ามีโอกาสเราจะกลับไปเดินบนนี้ใหม่อีกครั้ง และจะไปให้ไกลกว่านี้แน่นอน
ขากลับเราเจอคนไทยด้วย 2 คน ตั้งแต่มาแชงกรีล่าก็เพิ่งเจอคนไทยนี่แหละ เลยทักทายแล้วก็ขึ้นกระเช้ากลับลงมาพร้อมกัน ส่วนใหญ่ก็คุยกันถึงทริปในครั้งนี้ว่า ไปที่ไหนกันมาบ้าง ไปที่นู่นรึยัง ที่นี่รึยัง คุยไปคุยมา มาคุยกันเรื่องรถ เลยได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เค้าใช้วิธีการเหมารถเที่ยว โดยราคาอยู่ที่ 200 หยวนต่อวัน แต่ถ้าแบบเราส่วนใหญ่ก็ที่ละ 30 หยวนจากโรงแรม เราว่าแบบเราก็ประหยัดดีนะ ไม่ต้องอยู่ด้วยกันตลอดใช้วิธีนัดเวลาให้มารับเอา
กลับลงมาด้านล่างตามเวลานัด โชเฟอร์ของเราวันนี้คนละคนกับเมื่อวาน วิธีกันลืมรถกับทะเบียนรถ ใช้วิธีขอถ่ายรูปไว้เลยตั้งแต่ก่อนขึ้นไปบนยอดเขา (เราใช้วิธีนี้ตลอดกันพลาด)
วันนี้ไม่มีแพลนไปไหนต่อ เหลือเวลาอีกตั้งครึ่งวัน เลยกะว่าจะไปเดินเล่นในเมืองเก่าอีกรอบก่อนบินกลับคุนหมิงคืนนี้ นั่งชมวิวชมวิถีชาวบ้านระหว่างทางกลับ ไม่มีเบื่อเลยจริงๆ
มาถึงย่านเมืองเก่า สิ่งที่อยากให้ทุกคนได้ลองคือ อาหารเสียบไม้ มีให้เลือกหลายอย่าง แต่ทีเด็ดที่พลาดไม่ได้เลย ก็คือเนื้อจามรีย่าง มาถิ่นจามรีทั้งที จะให้พลาดลองชิมเนื้อย่างจามรีได้ยังไงกัน สนนราคาอยู่ที่ไม้ละ 5 หยวน ถือว่าไม่แพงควรค่าแก่การลองเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากลองเนื้อย่างจามรีกันไปแล้ว เดินสำรวจร้านใกล้ๆ จะมีร้านขายนมกับโยเกิร์ต คนขายบอกว่าเป็นนมจามรี กับโยเกิร์ตจามรี เราเลยต้องขอลองสักหน่อย รสชาติโยเกิร์ตจะออกเปรี้ยวๆ ไม่ใช่เปรี้ยวธรรมดานะ ถึงขั้นเปรี้ยวมากเลยทีเดียว ต้องไปลองชิมกันดู นมกับโยเกิร์ตแก้วละ 5 หยวน คนขายที่นี่น่ารักมาก กินไปได้นิดเดียวมีการเติมให้ใหม่อีกรอบด้วย
บริเวณลานหน้าเมืองเก่า จะมีคนเอาจามรี กับหมา Tibetan Mastiff มาให้นักท่องได้ถ่ายรูปกันด้วย (Tibetan Mastiff เป็นหมาที่มีถิ่นกำเนิดในทิเบต) จริงๆแล้วเค้าไม่ให้เอากล้องเราถ่ายนะ ต้องใช้กล้องของเค้าแล้วก็เสียเงินกันไป ใครอยากมีรูปคู่กับหมาราคาตัวเป็นล้าน ก็ต้องที่นี่เลย
แล้วก็ไปเดินเล่นชมเมืองเก่ากันต่อ น่าเสียดายที่เมืองเก่าที่นี่เหลือขนาดไม่ใหญ่มาก เนื่องจากมีบางส่วนที่กำลังซ่อมแซมและสร้างใหม่ เพราะเคยเกิดเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ไปเมื่อปี 2014 ที่ผ่านมา
หลังจากเดิมชมเมืองเก่ากันแล้ว ก็เดินกลับมาที่พักของเรา Shangri-La Home Inn ตั้งใจว่าจะมาเอากระเป๋าที่ฝากไว้แล้วให้เค้าไปส่งที่สนามบินเพื่อไปนั่งรอเวลาที่สนามบินต่อ แต่อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่า คนที่นี่น่ารักมาก ดูแลดีมาก เค้าบอกว่าสนามบินที่นี่เล็กนิดเดียว ไม่ค่อยมีอะไร ให้รออยู่ที่นี่ก่อนก็ได้ แล้วก็ชวนเราเข้าไปดื่มชาดอกไม้ในห้องนั่งเล่น ไม่ใช่แค่ชาดอกไม้ มีไวน์ด้วย (เค้าบอกว่าไวน์นะ แต่ลองชิมไปรสชาติอย่างกับยาดอง..แรงมาก) นั่งอยู่สักพักก็ชวนกินข้าวเย็นอีก อะไรจะดูแลดีขนาดนี้
ที่นี่เค้าจะกินข้าวพร้อมกัน ทั้งเจ้าของและลูกจ้าง กินพร้อมกันเลย กับข้าวอย่างเดียวแต่มาเป็นหม้อใหญ่มาก แจกอาวุธแล้วก็กินข้าวร่วมสาบานในหม้อเดียวกันเลย ปลื้มที่นี่ รักที่นี่มาก ทุกคนน่ารักมาก แนะนำนะ ถ้าใครมาเที่ยวแชงกรีล่า มาพักที่นี่เลยไม่ผิดหวังแน่นอน Shangri-La Home Inn
เราขอปิดทริปนี้ด้วยภาพที่อบอุ่นมาก ทุกคนดีกับเรามากและเราตั้งใจว่าจะกลับไปหาพวกเค้าอีก ไปพักที่นี่อีก ไปกิน Hot Pot จามรีที่นี่อีก เป็นการขอบคุณที่ทุกคนดีกับเราแบบนี้
มิตรภาพดีๆ เกิดขึ้นได้ทุกที่ แม้ว่าจะต่างชาติต่างภาษาก็ตาม
หลังจากอิ่มแล้ว ที่พักก็เอารถไปส่งเราที่สนามบิน บริการฟรีไม่คิดค่าใช้จ่าย แล้วเราก็นั่งเครื่องจากแชงกรีล่าไปคุนหมิง นอนคุนหมิงคืนนึง วันรุ่งขึ้นก็เดินทางกลับไทยโดยสวัสดิภาพ….